|
เบาหวาน : มฤตยูเงียบคร่าชีวิตเด็กเอเชีย
ต้นปีที่ผ่านมานี้เอง
ชาน ตั้ก 'แอนสัน' ชิน เกิดผื่นลามไปทั่วขาและรักษาไม่หาย ทำให้เขาตัดสินใจไปหาแพทย์ใกล้บ้านในนิว
เทอร์ริทอรี่ส์ ของฮ่องกง ซึ่งแพทย์ได้ทำการตรวจเลือดเขาหลายต่อหลายครั้ง
จนได้ข้อสรุปว่าเขาเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 หรือที่รู้จักกันมานานในชื่อ
'โรคเบาหวานในผู้ใหญ่' หากพิจารณาในแง่ของพันธุกรรม ถือว่าแอนสัน
เป็นผู้มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้มากที่สุด เริ่มจากปู่ของเขา
2 คน ล้วนเจ็บป่วยเพราะโรคนี้ และเมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมส่วนตัว
ก็ถือว่าแอนสัน ดำเนินชีวิตประจำวันไม่ค่อยจะส่งผลดีต่อสุขภาพเท่าที่ควร
ทั้งการใช้เวลาว่างส่วนใหญ่คร่ำเคร่งกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ
'ฮีโร่ ออฟ เดอะ ทรี คิงดอม' แถมยังเป็นนักบริโภคตัวยง พิสูจน์ได้จากถุงมันฝรั่งทอดที่วางกลาดเกลื่อนหน้าโต๊ะเกมคอมพิวเตอร์
มิหนำซ้ำ อาหารที่แอนสัน บริโภคส่วนใหญ่คือ อาหารจากแม็คโดนัลด์
และพิซซ่า ฮัต ที่เขารับประทานเป็นมื้อค่ำสัปดาห์ละหลายวันด้วยกัน
แต่ที่น่าแปลกใจมาก คือแอนสันไม่น่าจะตกเป็นเหยื่อโรคเบาหวานในผู้ใหญ่
เพราะเขาเป็นแค่เด็กเจ้าเนื้อธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีอายุแค่ 13 ปีเท่านั้น
สิ่งนี้คงเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่า โรคเบาหวานพัฒนาไปมากเมื่อเทียบกับในอดีต
และเราคงต้องลืมคำจำกัดความเก่าๆ เกี่ยวกับโรคนี้ไปได้เลย ทั้งเป็นโรคที่เกิดกับคนสูงอายุ,
คนที่มีฐานะร่ำรวยและไม่ค่อยมีอันตรายถึงขั้นชีวิต เพราะปัจจุบัน
โรคเบาหวานเกิดขึ้นกับชนทุกชั้น ทุกเพศทุกวัย เรียกว่ามีโอกาสเกิดกับยาจกยากจนแสนเข็ญอาศัยตามสลัมโทรมๆ
ได้พอๆ กับเศรษฐีร้อยล้าน ที่อยู่ตามแมนชั่นหรูๆ และกำลังกลายเป็นมฤตยูเงียบที่คร่าชีวิตเด็กวัยรุ่นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
องค์การอนามัยโลก (ฮู) คาดการณ์ว่ามีผู้เป็นโรคเบาหวานทั่วโลกราว
177 ล้านคน พร้อมทั้งคาดว่าตัวเลขนี้จะเขยิบขึ้นเป็น 300 ล้านคน
ภายในปี 2536 ดร.พอล ซิมเม็ต ผู้อำนวยสถาบันโรคเบาหวานระหว่างประเทศ
(ไอดีไอ) ในรัฐวิคทอเรีย ประเทศออสเตรเลีย คาดการณ์ว่า
โรคเบาหวานกำลังกลายเป็นโรคร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
และกำลังกลายเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนเอเชียมากขึ้น ทุกวันนี้
ชาวเอเชียประมาณ 89 ล้านคน มีอาการของโรคเบาหวาน โดย 4ใน 5 ของผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานล้วนเป็นชาวเอเชียแทบทั้งสิ้น
เริ่มจากอินเดีย ที่ตัวเลขคาดการณ์คร่าวๆ ของไอดีไอ ระบุว่า มีผู้เป็นโรคเบาหวานประมาณ
32.7 ล้านคน ขณะที่จีนมีประมาณ 22.6 ล้านคน, ปากีสถาน 8.8 ล้านคน
และญี่ปุ่นประมาณ 7.1 ล้านคน ที่สำคัญ โรคร้ายนี้แพร่ลุกลามไปในภูมิภาคเอเชียอย่างรวดเร็วมากและเร็วกว่าภูมิภาคอื่นๆ
ของโลก จนมีการคาดการณ์กันว่า ภายในปี 2568 ชาวเอเชียจะเป็นโรคเบาหวานมากถึง
170 ล้านคน แยกเป็นอินเดียและจีนที่คาดว่าจะมีผู้ป่วยโรคเบาหวานรวมกันเกือบ
100 ล้านคน โรคเบาหวานจะกัดกร่อนร่างกายคนป่วยอย่างช้าๆ และไม่รู้ตัว
จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง ในเบื้องต้นนั้น
ผู้เป็นโรคนี้จะมีอาการปรากฏเพียงเล็กน้อยอาทิ กระหายน้ำและปัสสาวะบ่อย
เพราะฉะนั้นจึงปรากฏอยู่บ่อยครั้งว่าผู้ป่วยไม่ทราบว่าเกิดความผิดปกติขึ้นกับตนเอง
"ประมาณ 50% ของผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้"
ซิมเมตต์ กล่าวพร้อมเสริมว่า "มันคือมฤตยูเงียบ" สำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ทั่วไป
ตับจะมีหน้าที่ผลิตอินซูลิน ซึ่งจะแปลงน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงาน
แต่โรคเบาหวานจะเป็นตัวสกัดกั้นการทำงานของกระบวนการดังกล่าว ทำให้เกิดปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป
ก่อนจะนำไปสู่ ภาวะเส้นเลือดอุดตัน, เนื้อเยื่อร่างกายถูกทำลาย,
ระบบประสาทตาถูกทำลาย, ไต, และหัวใจ ทั้งยังเปิดช่องให้เกิดโรคอื่นๆ
ตามมาอาทิ การเป็นลมกะทันหัน, โรคหัวใจ, ความดันเลือดสูง, ไตล้มเหลว,
ตาบอด "สถิติของผู้ป่วยที่เสียชีวิตเพราะโรคนี้ส่วนใหญ่เป็นเพราะประเมินผลกระทบของโรคนี้ต่ำเกินไป"
ดร.ฮิลลารี่ คิง ผู้อำนวยการแผนกโรคเบาหวานประจำฮู กล่าว พร้อมเสริมว่า
"คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคเบาหวานมักจะเสียชีวิตจากผลที่ตามมาในภายหลังมากกว่าเสียชีวิตจากตัวของโรคเอง"
โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือเบาหวานประเภท 1 ถือเป็นเบาหวานที่ต้องพึ่งอินซูลิน
และมักจะเกิดจากสาเหตุทางพันธุกรรม ตับไม่สามารถผลิตอินซูลินได้
ในสมัยก่อน เด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงนี้จะถูกบังคับให้ฉีดอินซูลินก่อนไปโรงเรียนทุกวัน
เพราะได้โรคนี้ติดมากับตัวตั้งแต่เกิด หากไม่ฉีดอินซูลินจะต้องเสียชีวิตเพราะโรคนี้
อรุณ อิรยาเปรูมัล วัย 16 ปี จากเจนไน ประเทศอินเดีย เป็นโรคเบาหวานประเภท
1 ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 3 ขวบ โดยบรรพบุรุษในครอบครัวเขาไม่เคยมีใครเป็นโรคนี้
"ผมและภริยารู้สึกสิ้นหวังอย่างมาก" บิดาของอรุณกล่าว
ปัจจุบันอรุณ ทำงานรับจ้างในสวนสัตว์แห่งหนึ่งแถบชานเมืองหลวง
โดยครอบครัวของอรุณไม่อยู่ในฐานะที่จะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายจากอินซูลินได้
แต่โชคดีที่โรงพยาบาลท้องถิ่นแห่งหนึ่งยินดีฉีดอินซูลินให้เขาโดยไม่คิดมูลค่า
ถึงกระนั้นความสามารถในการมองเห็นของเขาก็เริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ
และทำให้เขาตาบอดในที่สุด ขณะอายุได้ 12 ปี "ผมยังจำภาพวันเก่าๆ
ที่ปีนต้นไม้, เล่นคริกเก็ต รวมทั้งสีสันต่างๆ ตามตัวสัตว์ได้ดี"
อรุณ เหยื่อโรคเบาหวานกล่าว อรุณเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนสอนคนหูหนวกและตาบอด
พร้อมทั้งตั้งความหวังว่าจะเป็นครูในอนาคต แต่ครอบครัวของเขา ก็ต้องเศร้าเสียใจอีกครั้งเมื่ออีลักกิยา
น้องสาวของเขามีอาการของโรคเบาหวานประเภท 1 ด้วยเหมือนกัน ในขณะที่เธอมีอายุได้เพียง
2 ปีครึ่งเท่านั้น ถึงกระนั้น
เราทุกคนก็ควรตระหนักถึงมหันตภัยร้ายของโรคเบาหวานประเภท
2 ด้วยเช่นกัน และถือเป็นโรคร้ายแรง ในแบบที่ 2 นี้ ตับไม่ใช่ตัวสร้างปัญหา
แต่เป็นการผลิตอินซูลินของตับ แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถสรุปแบบฟันธงลงไปได้ว่า
ตับผลิตอินซูลินไม่พอเพียง หรือว่าร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินได้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น
จึงทำให้เกิดผลกระทบในแง่ลบตามมา หากย้อนหลังไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
เคสผู้ป่วยเบาหวานแบบแอนสันอาจจะเป็นเรื่องแปลกเพราะไม่ค่อยจะมีให้เห็น
เบาหวานประเภท 1 เป็นรูปแบบโรคเบาหวานที่พบเห็นได้ทั่วไปในเด็ก
แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าโรคเบาหวานประเภท 2 จะแพร่หลายในอีก
10-20 ปีข้างหน้าในกลุ่มเด็กด้วยเช่นกัน "มีสัญญาณบ่งชี้ว่าอายุของผู้เป็นเบาหวานจะลดลง"
ศ.คลีฟ ค็อกแรม รองประธานสมาพันธ์โรคเบาหวานระหว่างประเทศในเครือข่ายของฮู
กล่าว "ทุกวันนี้ เราเจอผู้ป่วยเบาหวานอายุต่ำกว่า 40 ปี
และ 30 ปีมากขึ้น" ดร.ซัม ฉี ฟาง ผู้อำนวยการศูนย์โรคเบาหวานประจำโรงพยาบาลอเล็กซานดร้า
ในสิงคโปร์ กล่าวเสริม ในญี่ปุ่น 80% ของเคสโรคเบาหวานในเด็กมักเป็นโรคเบาหวานประเภท2
และบางคนเป็นผู้ป่วยเด็กมากอายุแค่ 9 ปีเท่านั้น "เราเคยเจอผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท
2 ที่อายุต่ำกว่า 6 ปี" ดร.เส่ย ฉี เซอะ ประธานสมาคมผู้ศึกษาโรคเบาหวานแห่งไต้หวัน
กล่าว เมื่อเป็นเช่นนี้
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ชาวเอเชียเป็นโรคเบาหวานประเภท
2 กันมากขึ้น คำตอบน่าจะอยู่ที่ไลฟ์สไตล์ของเด็กรุ่นใหม่ในเอเชีย
โดยเฉพาะการบริโภคอาหารที่ไม่มีคุณค่าด้านโภชนาการทั้งแม็คโดนัลด์,
เคเอฟซี ประกอบกับใช้เวลาว่างในแต่ละวันเคลื่อนไหวน้อยมาก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยหนุนส่งให้มฤตยูเงียบที่ชื่อเบาหวานมาเคาะประตูร่างกายได้นั่นเอง
มาทำความรู้จักกับมฤตยูเงียบกันหน่อย ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเตือนว่าโรคเบาหวานกำลังกลายเป็นมหันตภัยด้านสุขภาพที่รุนแรงที่สุดสำหรับเอเชีย
เบาหวานคืออะไร เบาหวานคืออาการเจ็บป่วยจากการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับกลูโคลส
(น้ำตาล) ในเลือดได้ตามปกติ, ร่างกายของคนเป็นโรคเบาหวานจะไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินในปริมาณที่เพียงพอ
โดยฮอร์โมนดังกล่าว ซึ่งผลิตโดยตับ มีหน้าที่ลำเลียงกลูโคลสไปยังกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อส่วนต่างๆของร่างกาย
เพื่อแปลงเป็นพลังงาน และไม่สามารถใช้ฮอร์โมนอินซูลินที่มีอยู่ในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยแยกประเภทเบาหวานได้เป็น 2 ประเภทคือ เบาหวานประเภท 1 และ เบาหวานประเภท
2 เบาหวานประเภท 1 บางครั้งก็เรียกโรคเบาหวานในเด็ก -เกิดขึ้นเพียง10-15%ของทุกเคส
-ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนแต่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่าเกิดจากกรรมพันธุ์
โดยอาจจะมีองค์ประกอบด้านสภาพแวดล้อมเป็นตัวกระตุ้น
-อาการของโรคโดยทั่วไปลุกลามรวดเร็ว
-มีแนวโน้มว่าจะเกิดกับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี -เซลล์ผลิตอินซูลินในตับได้รับความเสียหายเพราะฉะนั้นต้องมีการฉีดอินซูลินเข้าสู่ร่างกายเพื่อรักษาชีวิตคนไข้เอาไว้
เบาหวานประเภท2 บางครั้งเรียกเบาหวานในผู้ใหญ่ - เป็นเบาหวานที่พบเห็นได้ทั่วไปและเกิดขึ้นประมาณ
90% ของทุกเคส - สาเหตุของโรคจะสัมพันธ์กับรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ก่อให้เกิดปัญหาน้ำหนักตัวมากเกินไป,
ไม่ค่อยออกกำลังกายและความเครียด อีกทั้งอาจจะสัมพันธ์กับลักษณะทางพันธุกรรมด้วย
- ปกติจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุสูงกว่า 40 ปี แต่ในปัจจุบันกำลังแพร่ระบาดในหมู่เด็กและวัยรุ่น
- ร่างกายผลิตอินซูลินได้แต่อาจจะไม่เพียงพอ หรือไขมันในร่างกายมากเกินไปอาจจะเป็นตัวสกัดกั้นการผลิตอินซูลิน
วิธีเยียวยาโรคเบาหวาน ไม่มียารักษาโรคเบาหวานให้หาย แต่สามารถควบคุมโรคนี้ได้
โดยผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้อย่างมีความสุขและยาวนานถ้าทำตามขั้นตอนต่างๆ
ต่อไปนี้: 1.รักษาดูแลสุขภาพและสร้างสมดุลด้านโภชนาการแก่ร่างกาย
2.ออกกำลังกายมากๆ 3.ควบคุมน้ำหนักไม่ให้สูงเกินไปและน้อยเกินไป
4.ตรวจสอบระดับกลูโคลสในเลือดอย่างสม่ำเสมอ 5.พบแพทย์เพื่อรับการตรวจร่างกายและขอรับคำแนะนำด้านการแพทย์เป็นประจำ
และสำหรับผู้ป่วยเบาหวานประเภท 1 การเข้ารับการฉีดอินซูลินเป็นประจำทุกวันเป็นเรื่องจำเป็นมาก
คุณเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ต่อไปนี้คืออาการผิดปกติที่เป็นสัญญาณเตือนภัยบอกให้คุณรู้ว่ากำลังถูกคุกคามด้วยโรคเบาหวาน
1.กระหายน้ำมากกว่าปกติและปากแห้ง 2.ปัสสาวะบ่อย 3.ง่วงเหงาหาวนอนบ่อยผิดปกติ
4.หิวอาหารมากผิดปกติ 5.น้ำหนักตัวลดลงอย่างฮวบฮาบ 6.มีบาดแผลที่รักษาไม่หาย
7.ติดเชื้อได้ง่าย 8.ความสามารถในการมองเห็นพร่ามัว หัวใจสำคัญคือการตรวจร่างกายเป็นประจำ
เพราะอย่างน้อย 50% ของผู้เป็นโรคเบาหวานไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้
อีกทั้งเบาหวานประเภท 2 จะแสดงอาการน้อยกว่าเบาหวานประเภท 1
ที่มา: สมาพันธ์เบาหวานระหว่างประเทศ,สถาบันเบาหวานระหว่างประเทศ,องค์การอนามัยโลก(ฮู)
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
|
|
|
|
|
|